หน้าเว็บ

ใบความรู้ กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า





กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
ผู้แต่ง     พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)
            พระยาอุปกิตศิลปสารเกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๒ ถึงแก่กรรมวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ศึกษาภาษาไทยเบื้องต้นที่วัดบางประทุนนอกธนบุรีและวัดประยูรวงศาวาสบวชเป็นสามเณรและพระภิกษุที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้เปรียญ ๖ ประโยคและศึกษาวิชาครูด้วยเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญทางภาษาไทย ภาษาบาลี และวรรณคดีโบราณ เคยเป็นอาจารย์พิเศษในสถาบันการศึกษาสำคัญหลายแห่งนามปากกาของ พระยาอุปกิตศิลปสาร ที่รู้จักกันมาก เช่น อ.น.ก. อุนิกา อนึก คำชูชีพ ม.ห.น. เป็นต้น เกียรติคุณพิเศษของพระยาอุปกิตศิลปสาร มีดังนี้
- เป็นคนแรกที่บัญญัติคำทักทายเมื่อแรกพบกันว่า "สวัสดี" ซึ่งแปลว่า สะดวก สบายดี เพราะแต่ก่อนนี้แรกพบกัน คนไทยไม่มีระเบียบในการใช้คำทักทาย
- เป็นนักประพันธ์ไทยคนแรกที่อุทิศโครงกระดูกให้แก่มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์คือ ศิริราช โดยกล่าวว่า "ฉันเป็นครูตายแล้วขอเป็นครูต่อไป"
- เป็นคนแรกที่แต่งตำรา "สยามไวยากรณ์" หรือตำราไวยากรณ์ไทย ได้สำเร็จบริบูรณ์คือมีทั้ง อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ และฉันทลักษณ์ โดยอาศัยเค้าโครงเก่าของกรมวิชาการ และไวยากรณ์อังกฤษเป็นหลัก
ลักษณะคำประพันธ์     กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้านี้แต่งเป็นกลอนดอกสร้อย บทดอกสร้อยบทหนึ่งประกอบด้วยกลอนสุภาพ    จำนวน บท หรือคำกลอน (มี วรรค) แต่วรรคแรกประกอบด้วยคำ คำ โดยคำที่ ของวรรคแรกจะใช้คำ เอ๋ย และจบคำ สุดท้ายของบทด้วยคำว่า เอย ส่วนลักษณะคำสัมผัสเป็นเหมือนกลอนสุภาพ บทมี วรรค ดังแผนผัง
doogsoy 
ที่มา     คำประพันธ์ของเรื่องกลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้ามาจากบทกวีนิพนธ์เรื่อง Elegy Writen in a Country Churchyard ของทอมมัส เกรย์  (Thormas Gray) กวีอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง (กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ) กวีนิพนธ์บทนี้เขียนขึ้นที่สุสานเก่าแก่ของเมืองสโตกโปจส์ (Stoke Poges) ในมณฑลบักกิงแฮมเชอร์ (Buckinghamshire) เมื่อประมาณ .. ๒๒๘๕ หลังจากการมรณกรรมของญาติใกล้ชิดและเพื่อนรักของเกรย์ในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยทั่วไปงานประพันธ์ประเภท elegy (ราชบัณฑิตยสถานใช้ว่า บทร้อยกรองกำสรด) คือ โคลงไว้อาลัยซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะ แต่บทนิพนธ์ของเกรย์เรื่องนี้ใช้คำว่า elegy ให้กว้างออกไปในความหมายว่า การรำพึงเกี่ยวกับความตายของมนุษย์ ตลอดจนสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นเห็นว่ามีคุณค่า ด้วยเนื้อหาอันแสดงถึงสัจธรรมของชีวิตและถ้อยคำภาษาที่สละสลวย ทำให้บทประพันธ์บทนี้เป็นบทร้อยกรองกำสรดของอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) ได้ประพันธ์จากต้นฉบับแปลของเสฐียรโกเศศ เป็นกลอนดอกสร้อยจำนวน ๓๓ บท
เนื้อเรื่องย่อ
                  กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้านี้ มีเนื้อหาการยกย่องเชิดชูชีวิตอันสงบเรียบง่ายและความสุขอันเกิดจากความสันโดษ ทั้งนี้ยังชี้ว่าแม้ยามจากไปจะไม่มีผู้ใดจารึกเกียรติคุณ แต่หลุมศพก็ยังเป็นเครื่องเตือนให้ผู้พบเห็นได้ใคร่ครวญถึงความเป็นสามัญ         
ของชีวิต มุ่งแสดงความเป็นจริงเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ โดยเสนอแนวคิดหลักว่า มนุษย์ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญหรือสามัญชนก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายไปได้
                  แนวคิดสำคัญของเรื่องความเป็นอนิจจังของชีวิตนี้สอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความไม่เที่ยงแท้ แน่นอนของสรรพสิ่ง สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้พระยาอุปกิตศิลปสารเลือกกวีนิพนธิ์ของทอมัส เกรย์บทนี้มา ถ่ายทอดสู่ผู้อ่านชาวไทย
......................................................................................................................................................
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
"กถามุข"
                ดังได้ยินมา สมัยหนึ่ง ผู้มีชื่อต้องการความวิเวก, เข้าไปนั่งอยู่ ณ ที่สงัดในวัดชนบท เวลาตะวันรอนๆ, จนเสียงระฆังย่ำบอกสิ้นเวลาวัน ฝูงโคกระบือ และพวกชาวนา พากันกลับที่อยู่เป็นหมู่ๆ. เมื่อสิ้นแสงตะวันแล้ว ได้ยินเสียงจังหรีดเรไรกับเสียงเกราะในคอกสัตว์. นกแสกจับอยู่บนหอระฆังก็ร้องส่งสำเนียง.ณ ที่นั้นมีต้นไทรต้นโพธิ์สูงใหญ่ ใต้ต้นล้วนมีเนินหญ้า กล่าวคือที่ฝังศพต่างๆ อันแลเห็นด้วยเดือนฉาย. ศพในที่เช่นนั้นก็เป็นศพพวกชาวไร่ชาวนานั่นเอง. ผู้นั้นมีความรู้สึกซึ่งเยือกเย็นใจอย่างไร แล้วรำพึงอย่างไรในหมู่ศพ, ได้เขียนความในใจนั้น ออกมาสู่กันดังต่อไปนี้
(กถามุขนี้ นาคะประทีป เรียบเรียง)



The Curfeu tolls the Knell of parting Day,
The lowing Herd winds slowly o'er the Lea,
The Plow-man homeward plods his weary Way,
And leaves the World to Darkness and to me.
๑.            วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่ง!                            ย่ำค่ำระฆังขาน
ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล                                         ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ                                  ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล                                         และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย
ถอดคำประพันธ์
            เสียงระฆังย่ำดังหง่างแหง่ง มาทำให้เกิดความวังเวงใจยิ่งนัก ในขณะที่ฝูงวัวควายก็เคลื่อนจากท้องทุ่งลาเวลากลางวันเพื่อมุ่งกลับถิ่นที่อยู่ของมัน ฝ่านพวกชาวนาทั้งหลายรู้ศึกเหนื่อยอ่อนจากการทำงานต่างพากันกลับถิ่นพำนักของตนเมื่อตะวันลับขอบฟ้าก็ไม่มีแสงสว่าง ทำให้ท้องทุ่งมืดไปทั่วบริเวณและทิ้งให้ข้าพเจ้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เพียงผู้เดียว
คำศัพท์
ผ้าย                       เคลื่อนจากที่
ทิวากาล                 เวลากลางวัน

Now fades the glimmering Landscape on the Sight,
and all the Air a solemn Stillness holds,
Save where the Beetle wheels his droning Flight,
and drowsy Tinklings lull the distant Folds;
๒.           ยามเอ๋ยยามนี้                                           ปถพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล                              สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่เสียงจังหรีดกระกรีดกริ่ง!                               เรไรหริ่ง! ร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะแปะ ! เพียง                     รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย
ถอดคำประพันธ์
            ยามนี้แผ่นดินมืดไปทั่ว อากาศเย็นยะเยือกหนาว เพราะเป็นเวลากลางคืน และป่าใหญ่แห่งนี้เงียบสงัด มีแต่จิ้งหรีดและเรไร ร้องกันเซ็งแซ่ไปหมด เจ้าของคอกวัวควายต่างก็รัวเกราะเสียงเปาะๆ ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงเกราะดังแว่วมาแต่ไกล
คำศัพท์
ปถพี                     แผ่นดิน
คราววิกาล             เวลากลางคืน
Save that from yonder ivy-mantled Tow'r
The moping Owl does to the Moon complain
Of such as, wand'ring near her secret Bow'r,
Molest her ancient solitary Reign.
๓.         นกเอ๋ยนกแสก                                        จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์                            มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู                            คนมาสู่ซ่องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา                                    ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมัน เอย
ถอดคำประพันธ์
            นกแสกน้องแจ๊กๆ เพื่อทำให้เสียขวัญ มันจับอยู่บนหอระฆังที่มีเถาวัลย์พันรุงรังมาถึงหลังคาและบดบังแสงจันทร์อยู่ เหมือนมันจะฟ้องดวงจันทร์ว่าให้หันมาดูผู้คนที่จมสู่ที่อยู่ที่มันรักษาไว้ ซึ่งถือเป็นที่เฉพาะส่วนตัวมานาน ทำให้มันไม่มีความสุข
คำศัพท์
นกแสก              ชื่อนกชนิดหนึ่งมักอาศัยตามต้นไม้หรือชายคา
แถกขวัญ            ทำให้ตกใจ  ทำให้เสียขวัญ
ซ่อง                    ที่อยู่

Beneath those rugged Elms, that Yew-Tree's Shade,
Where heaves the Turf in many a mold'ring Heap,
Each in his narrow Cell for ever laid,
the rude Forefathers of the Hamlet sleep.
๔.         ต้นเอ๋ยต้นไทร                                         สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์พุ่มแจ้แผ่ฉายา                                       มีเนินหญ้าใต้ต้นเกลื่อนกล่นไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้                                    ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ                                 เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวัน เอย
ถอดคำประพันธ์
            ต้นไทรใหญ่ที่มีรากห้อยย้อยและต้นโพธิ์พุ่มเตี้ยๆที่มีกิ่งทอดแผ่ออกไปโดยรอบ มีเนินหญ้าเกลื่อนไปทั่ว ใต้ต้นเป็นที่ฝังศพของคนละแวกนี้ ซึ่งนอนอยู่เกลื่อนไปในหลุมลึก ดูแล้วน่าสลดใจและตัวเราเองก็เข้าใกล้หลุมนั้นไปทุกวัน
คำศัพท์
แจ้         ลักษณะของต้นไม้เตี้ยๆที่มีกิ่งทอดแผ่ออกไปโดยรอบ
ฉายา    เงา ร่มไม้
ดุษณี     อาการนิ่งซึ่งแสดงถึงการยอมรับ

The breezy Call of incense-breathing Morn,
the Swallow twitt'ring from the Straw-built Shed,
The Cock's shrill Clarion, or the echoing Horn,
No more shall rouse them from their lowly Bed.
๕.         หมดเอ๋ยหมดห่วง                                      หมดดวงวิญญาณลาญสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย                                       เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น                                 ทั้งไก่ขันแข่งดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง                       พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุก เอย
ถอดคำประพันธ์
            หมดห่วงเนื่องจากดวงวิญญาณได้สลายไปแล้ว ถึงแม้ลมยามเช้าจะพัดให้สดชื่น เตือนให้นกแอ่นลมแผดร้องไปตามโรงนา ทั้งไก่และดุเหว่าร้องเสียงเหมือนปลุกร่างกายที่นอนเรียงให้ตื่นขึ้น แต่พวกนั้นกลับไม่ได้ยิน
คำศัพท์
ลาญ        แตกหัก ทำลาย
ผาย         เคลื่อนจากที่

For them no more the blazing Hearth shall burn,
Or busy Housewife ply her Evening Care'
No Children run to lisp their Sire's Return,
Or climb his Knees the envied Kiss to share
๖.         ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง                                       ยามหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา                             ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยน้อยร่อยร่อยรับ                                  เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ                             สารพันทอดทิ้งทุกสิ่ง เอย
ถอดคำประพันธ์
            ยามหนาวเคยนั่งผิงไฟอยู่พร้อมหน้ากันแต่กลับมาทิ้งกัน ทั้งเพื่อนยาก แม่เรือนที่เคยหุงข้าวให้ ทิ้งลูกที่เคยกอดพ่อด้วยความดีใจ ทิ้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง




Oft did the Harvest to their sickle yield,
Their Furrow oft the stubborn Glebe has broke;
How jocund did they drive their Team afield!
How bow'd the Woods beneath their sturdy Stroke!
๗.         กองเอ๋ยกองข้าว                                       กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร                        ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ                                      สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามใจจินต์                                    หางยามผินตามใจเพราะใคร เอย
ถอดคำประพันธ์
            เห็นกองข้าวสูงราวกับโรงนา ช่างน่ายินดียิ่งนัก กองข้างนี้เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวของใคร หรือใครเป็นคนไถคราดพลิกฟื้นฝืนแผ่นดินนี้ขึ้นมา เช้าก็ถือคันไถพร้อมกับไล่วัวควายอย่างสบายใจอยู่ในท้องนา โดยจับหางคันไถไถนาตามใจของตน หางไถหันไปในทิศทางต่างๆเพราะใครเล่า
คำศัพท์
หางยาม      หางไถตอนที่มือถือ

Let not Ambition mock their useful Toil,
Their homely Joys, and Destiny obscure;
Nor Grandeur hear with a disdainful Smile,
The short and simple Annals of the Poor.
๘.         ตัวเอ๋ยตัวทะยาน                          อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน                                และความครอบครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด                    มีปวัตติ์เป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้ยเยาะพูดเราะราน                    ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตู เอย
ถอดคำประพันธ์
            ผู้ที่อยากมีฐานะที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ ขออย่าดลบันดาลใจให้มีการดูถูกการกระทำต่างๆของชาวนาและความเป็นอยู่อันชื่นบานของเขา เขาอยู่กันอย่างมีความสุขอย่างเรียบง่าย โดนมีความเป็นไปไม่เกินวิสัยปรกติของมนุษย์ ขอจงอย่าไปพูดจาเยาะเย้ยหรือดูหมิ่นการเป็นอยู่ของเขาเอง
คำศัพท์
ตัวทะยาน           อยากมีฐานะหรือภาวะสูง ดีกว่าที่เป็นอยู่
ปวัตน์                 ความเป็นไป
วิตถาร                นอกแบบ นอกทาง เกินวิสัยปกติ

The boast of Heraldry, the Pomp of Pow'r,
And all that Beauty, all that Wealth e'er gave,
Awaits alike th'inevitable hour.
The Paths of glory lead but to the Grave.
๙.         สกุลเอ๋ยสกุลสูง                           ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์                    ความงามนำให้มีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขให้ทุกอย่าง                  เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น                       แต่ล้วนผันมาประจบหลุมศพ เอย.
ถอดคำประพันธ์
            คนที่มีชาติตระกูลสูง ทำให้จิตใจของตนพองโตขึ้นโดยคิดว่าตนมีศักดิ์ศรีเหนือคนอื่น  คนมีอำนาจนำความสง่างามมาให้แก่ชีวิต คนที่มีหน้าตางดงามทำให้คนอื่นรักใคร่  คนมีฐานะร่ำรวยย่อมหาความสุขได้ทุกอย่าง แต่ทุกคนต่างก็รอความแตกดับของร่างกายด้วยกันทั้งนั้น วถีแห่งเกียรติยศทั้งหมด ล้วนจบลงที่ความตายด้วยกันทั้งสิ้น
คำศัพท์
อินทรีย์, ขันธ์       ร่างกาย  

Nor you, ye Proud, impute to these the Fault,
If Mem'ry o'er their Tomb no Trophies raise,
Where thro' the long-drawn aisle and fretted Vault
The pealing Anthem swells the Note of Praise.
๑๐.       ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง                                          เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ                                       ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนอย่างบางศพญาติตบแต่ง                          เครื่องแสดงเกียรติยศเลิศประเสริฐศรี
สร้างสานการบุญหนุนพลี                                        เป็นอนุสาวรีย์สง่า เอย
ถอดคำประพันธ์
            ผู้คนเย่อหยิ่งทั้งหลายขออย่าตำหนิว่าซากศพผู้ยากไร้เหล่านี้เลย แม้เห็นจมดินน่าสลดใจ ไม่มีของประดับอะไรสักอย่างก็ตามที ไม่เหมือนอย่างบางศพที่ญาติตบแต่งด้วยเครื่องแสดงเกียรติยศอย่างดี  โดยมีการสร้างอนุสาวรีย์อันสง่างามเพื่อเป็นการสรวงบูชา
คำศัพท์
พลี     อ่านว่า พะ-ลี       หมายถึง การบูชาบวงสรวง


Can storied Urn or animated Bust
Back to its Mansion call the fleeting Breath?
Can Honor's Voice provoke the silent Dust,
Or Flatt'ry soothe the dull cold ear of Death?
๑๑.       ที่เอ๋ยที่ระลึก                               ถึงอธึกงามลบในภพพื้น
ก็ไม่ชวนชีพที่ดับให้กลับคืน                      เสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกลั่น                 จะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวาย                    ชูเกียรติญาติไปภายภาคหน้า เอย
ถอดคำประพันธ์
            ที่ระลึกที่สร้างขึ้น  ถึงแม้จะงามเลิศเลอสักเพียงใด  ก็ไม่สามารถทำให้ผู้ตายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้  เสียงชื่นชมเชิดชูในคุณงามความดีของผู้ตาย  รวมทั้งเสียงประกาศถึงเกียรติยศอย่างแพร่หลายกันทั่ว  จะไปเจ้าหูของผู้ตายนั้นก็หาไม่  ทุกอย่างล้วนเป็นคุณแก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่  และเป็นการเชิดชูเกียรติยศของญาติพี่น้องที่มีชีวิตอยู่ต่อไป
คำศัพท์
อธึก                   ยิ่งใหญ่ มาก
เอิกเกริก             แพร่หลายรู้กันทั่ว
กรรณ                 หู

Perhaps in this neglected Spot is laid
Some Heart once pregnant with celestial Fire;
Hands that the Rod of Empire might have sway'd,
Or wak'd to Extacy the living Lyre.
๑๒.   ร่างเอ๋ยร่างกาย                                  ยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทราม                              อาจขึ้นชื่อลือนามในก่อนไกล
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพ                           แห่งจอมภพจักรพรรดิกษัตริย์ใหญ่
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัย                   ณ สมัยก่อนกาลบุราณ เอย
ถอดคำประพันธ์
            ร่างกายของคนทั้งหลายเมื่อตายและจะจมพื้นดินอยู่เต็มไปหมด  ขอจงอย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าไม่ดี  เพราะอาจเป็นถิ่นที่มีชื่อเสียงมาในสมัยก่อนก็เป็นได้  คือ  เป็นสถานที่ก่อสร้างพระเจดีย์บรรจุพระศพของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  อันประกอบด้วย    ประการของจักรพรรดิ  ในสมัยโบราณนานมาแล้ว



คำศัพท์
สัตตรัตน์       ในที่นี้หมายถึงแก้ว ๗ ประการของจักรพรรดิ มีช้างแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี จักรแก้ว  แก้วเจ็ดประการมี สุวรรณ-ทอง หิรัญ-เงิน มุกดา ประพาฬ-โกเมน ไพทูรย์ วิเชียร-เพชร มณี-ทับทิม

But Knowledge to their Eyes her ample Page
Rich with the Spoils of Time did ne'er unroll;
Chill Penury repress'd their noble Rage,
And froze the genial Current of the Soul.
๑๓.   ความเอ๋ยความรู้                                 เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป                          ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา                      ย่นปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน                     กระแสวิญญาณงันเพียงนั้น เอย
ถอดคำประพันธ์
            ความรู้เป็นเครื่องชี้นำทางไปสู่ความก้าวหน้าแต่ตอนนี้หมดโอกาสที่จะชี้นำทางต่อไปแล้ว  จำต้องละความห่วงใยทั้งหมดลงไปสู่ความตาย  อันความยากจนทำให้ไม่ได้รับการศึกษา  ได้รับวิชาความรู้อยู่เฉพาะในท้องถิ่นของตน  ตอนนี้หมดทุกข์ที่จะขลุกอยู่แต่ในการทำมาหากินเสียที  เพราะวิญญาณของเราคงจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้

Full many a Gem of purest Ray serene,
The dark unfathom'd Caves of Ocean bear:
Full many a Flower is born to blush unseen,
And waste its Sweetness on the desert Air.

๑๔.   ดวงเอ๋ยดวงมณี                                               มักจะลี้ลับอยู่ในภูผา
หรือใต้ท้องห้องสมุทรสุดสายตา                             ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน
บุปผชาติชูสีและมีกลิ่น                                            อยู่ในถิ่นที่ไกลเช่นไพรสณฑ์
ไม่มีใครได้เชยเลยสักคน                                          ย่อมบานหล่นเปล่าดายมากมาย เอย
ถอดคำประพันธ์
ดวงแก้วหรือสิ่งที่มีค่ามักจะอยู่ในที่ลี้ลับ  เช่น  ในภูเขาหรืออยู่ใต้ท้องสมุทรซึ่งอยู่สุดสายตาของมนุษย์  ทำให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไม่มีผู้ใดได้ชื่นชม  เปรียบเสมือนดอกไม้ที่สีสวยและกลิ่นหอมที่อยู่ห่างไกล  เช่น  ในป่า  ก็ไม่มีใครได้เชยชมเลยสักคน  ย่อมบานหล่นไปเปล่าๆ อย่างมากมายน่าเสียดายเป็นยิ่งนัก
Some village-Hampden, that with dauntless Breast
The little Tyrant of his Fields withstood;
Some mute inglorious Milton here may rest,
Some Cromwell, guiltless of his Country's Blood.
๑๕.   ซากเอ๋ยซากศพ                                          อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำบาญ                             กับหมู่ม่านมาประทุษอยุธยา
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์                              นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา                                    อาจจะมานอนจมถมดิน เอย
ถอดคำประพันธ์
            ซากศพทั้งหลายเหล่านี้  อาจะเป็นซากศพของนักรับผู้กล้าหาญ  เช่น  ชาวบ้านบางระจันที่อาสาสู้รบกับกองทัพพม่าที่มาทำร้ายกรุงศรีอยุธยา  หรือศพท่านกวีปราชญ์ที่นอนนิ่งไม่พูดไม่จา  หรือศพผู้กู้บ้านเมืองอื่นๆ ซึ่งอาจจะมาสิ้นชีวิต ณ ที่นี้
คำศัพท์
รำบาญ               รบ
ม่าน                   ชนชาติพม่า
ประทุษ              ทำร้าย

The struggling Pangs of conscious Truth to hide,
To quench the Blushes of ingenuous Shame,
Or heap the Shrine of Luxury and Pride
With Incense kindled at the Muse's Flame.

๑๘.   มักเอ๋ยมักใหญ่                                                ก่นแต่ใฝ่ฝันฟุ้งตามมุ่งหมาย
อำพรางความจริงใจไม่แพร่งพราย                           ไม่ควรอายก็ต้องอายหมายปิดบัง
มุ่งแต่โปรยเครื่องปรุงจรุงกลิ่น                                 คือความฟูมฟายสินลิ้นโอหัง
ลงในเพลิงเกียรติศักดิ์ประจักษ์ดัง                            เปลวเพลิงปลั่งหอมกลบตลบ เอย
ถอดคำประพันธ์
พวกมักใหญ่ใฝ่สูงจะทำแต่สิ่งที่ตนใฝ่ฝันมุ่งหมายๆไว้และปิดปังความจริงบางอย่างโดนไม่เปิดเผยให้ใครทราบ  แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอับอาย  มุ่งแต่แสดงให้เห็นรูปลักษณ์ภายนอกว่าดี  มีการใช้จ่ายทรัพย์เกินฐานะ  พูดจาอวดดีเพื่อแสดงความมีเกียรติสูงส่งของตนอื่นเห็น  อันเป็นการปกปิดความเป็นจริงของตนเองไว้
คำศัพท์
ฟูมฟาย     สุรุ่ยสุร่าย  ใช้จ่ายเกินฐานะ
For from the madding Crowd's ignoble Strife,
Their sober Wishes never learn'd to stray:
Along the cool sequester'd Vale of Life
They kept the noiseless Tenor of their Way.
๑๙.   ห่างเอ๋ยห่างไกล                                               ห่างจากพวกมักใหญ่ฝักใฝ่หา
แต่สิ่งซึ่งเหลวไหลใส่อาตมา                                    ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป
เพื่อนรักษาความสราญฐานวิเวก                              ร่มเชื้อเฉกหุบเขาลำเนาไศล
สันโดษดับฟุ้งซ่านทะยานใจ                                    ตามวิสัยชาวนาเย็นกว่า เอย
ถอดคำประพันธ์
            ขอจงอยู่ห่างไหลจากพวกมักใหญ่ใฝ่สูง  ซึ่งทำแต่สิ่งเหลวไหลใส่ตัวเอง  โดยไม่ดูความมักน้อยของชาวนาเป็นตัวอย่าง  ฉะนั้นเพื่อรักษาความสบายใจและความวิเวกร่มเย็นเฉกเช่นอยู่ในหุบเขาลำเนาไพร  ควรถือสันโดษดับความฟุ้งซ่านใจ  ตามแบบของชาวนาไว้จะดีกว่า
คำศัพท์
ชื้อ                      เย็น ร่ม ชื้น
สันโดษ              ความยินดีหรือพอใจเท่าที่ตนมอยู่หรือเป็นอยู่, มักน้อย

Yet ev'n these Bones from Insult to protect
Some frail Memorial still erected nigh,
With uncouth Rhymes and shapeless Sculpture deck'd,
Implores the passing Tribute of a Sigh.
๒๐.   ศพเอ๋ยศพไพร่                                  ไม่มีใครขึ้นชื่อระบือขาน
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน                     ไม่มีการจารึกบันทึกคุณ
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ                        ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร์
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุญ                     เป็นเครื่องหนุนนำเหตุสังเวช เอย
ถอดคำประพันธ์
            ศพของคนธรรมดาสามัญ  ไม่มีใครเขายกย่องหรือกล่าวถึงฉะนั้นจึงไม่ต้องไปเกรงกลัวว่าใครเขาจะนินทา  เพราะไม่มีการเขียนจารึกบันทึกคุณความดีไว้  ถึงจะมีบ้างก็ไม่เชิดชูกันอย่างเต็มที่  ทำพอเป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดี  หรือเป็นเครื่องหนุนนำเพื่อให้เกิดสังเวชใจเท่านั้น




Their Name, their Years, spelt by th'unletter'd Muse,
The place of Fame and Elegy supply:
And many a holy Text around she strews,
That teach the rustic Moralist to dye.
๒๑.   ศพเอ๋ยศพสูง                                     เป็นเครื่องจูงจิตให้เลื่อมใสศานต์
จารึกคำสำนวนชวนสักการ                        ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ
ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน                                  จากรึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์
อุทิศสิ่งซึ่งสร้างตามทางธรรม์                    ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผี เอย
ถอดคำประพันธ์
            ศพของคนตระกูลสูง เป็นสิ่งที่จูงให้เลื่อมใส มีการจารึกค่าสักการะ ผิดกับศพของชาวนาธรรมดา ซึ่งอย่างดีที่สุดก็มีแค่กวีสมัครเล่นซึ่งจะจารึกเอาไว้เพียงแค่วันเดือนปีที่ล่วงลับ อุทิศสิ่งของทางธรรมให้แก่ผู้ตาย
คำศัพท์
กวีเถื่อน             กวีชาวบ้าน คนที่มีความรู้ระดับชาวบ้าน

For who to dumb Forgetfulness a Prey,
This pleasing anxious Being e'er resigned,
Left the warm Precincts of the cheerful Day,
Nor cast one longing ling'ring Look behind?
๒๒.   ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร                            ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท                             ก็ยังคิดขึ้นได้เมื่อใกล้ตาย
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข                          เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย                    โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัย เอย
ถอดคำประพันธ์
            ห่วงอะไรไม่เท่าห่วงชีวิต แม้นคนที่ลืมทุกสิ่งก็ยังคิดได้เมื่อใกล้ตาย ใครจะยอมละทิ้งสิ่งที่ทำให้มีความสุข ถ้าผู้เคยมีความทุกข์ก็ยิ่งไม่เสียให้ง่ายๆ ใครจะยอมจากที่อยู่แสนสบาย โดยไม่หันหลังอาลัยไปมอง

On some fond Breast the parting Soul relies,
Some pious Drops the closing Eye requires;
Ev'n from the Tomb the Voice of Nature cries,
Ev'n in our Ashes live their wonted Fires.


๒๓.   ดวงเอ๋ยดวงจิต                                               ลืมสนิทกิจการงานทั้งหลาย
ย่อมละชีพเคยสุขสนุกสบาย                                    เคยเสียดายเคยวิตกเคยปกครอง
ละทิ้งถิ่นที่สำราญเบิกบานจิต                                  ซึ่งเคยคิดใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง                      ไม่ผินหลังเหลียวมองด้วยซ้ำ เอย
ถอดคำประพันธ์
            ขอให้ดวงจิตของเรา จงลืมกิจการงานทั้งหลายที่เคยสุขสนุกสบาย เคยเสียดาย เคยวิตกและเคยปกครอง ต้องละถิ่นที่เคยให้ความสุขสำราญบานใจ และฝันใฝ่อยากเป็นเจ้าของ ขอจงหมดความวิตก หมดความเสียดายหมดสิ่งที่ปรารถนา โดนไม่หันหลักเหลียวไปมองมันอีกเลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น