บทเสภาสามัคคีเสวก ตอนวิศวกรรมา
และสามัคคีเสวก
ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ลักษณะคำประพันธ์ กลอนเสภา
(กลอนสุภาพ)
ตอน วิศวกรรมา เป็นกลอนทั้งหมด ๑๓ บท
ตอน สามัคคีเสวก เป็นกลอนทั้งหมด ๙ บท
ที่มาของเรื่อง เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่๖) ซึ่งทรง
พระราชนิพนธ์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗
จุดประสงค์ในการแต่ง เพื่อใช้เป็นบทสำหรับอธิบายนำเรื่องในการฟ้อนรำตอนต่างๆ
เนื้อเรื่อง
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
ชาติใดที่มีศึกสงครามไม่มีความสงบสุขในแผ่นดิน ประชาชนย่อมไม่มีจิตใจสนใจความงดงามของศิลปะ
แต่หากประเทศใด(ชาติใด)บ้านเมืองสงบสุขปราศจากสงคราม ประชาชนก็จะทำนุบำรุงการศิลปกรรมทั้งปวงให้เจริญรุ่งเรือง
ชาติใดที่ปราศจากช่างศิลป์ ก็เปรียบเสมือนหญิงสาวที่ไม่มีความงามไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจของใคร
มีแต่จะถูกเยาะเย้ยให้ได้อาย อันศิลปกรรมนั้นช่วยทำให้จิตใจคลายเศร้า ช่วยทำให้ความทุกข์หมด ทำให้จิตใจของเรามีความสุขซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย(ทำให้สุขภาพ
ใจและกายดี) ตรงกันข้าม หากใครไม่เห็นคุณค่าความงามของศิลปะ เมื่อเผชิญความทุกข์ก็ไม่มีสิ่งใดมาเป็นยาช่วยรสมานบาดแผลของจิตใจ เขาเหล่านั้นจึงเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก เพราะความรู้ทางช่างศิลป์สำคัญเช่นนี้ นานาประเทศจึงนิยมยกย่องคุณค่าของศิลปะและความสามารถเชิงช่างของช่างศิลป์
ว่าเป็นเกียรติยศ ความรุ่งเรืองของแผ่นดิน
คนที่ไม่เห็นคุณค่าของศิลปะก็เหมือนคนป่าคนดง ป่วยการอธิบาย
พูดด้วยก็เปลืองน้ำลายเปล่า
แต่ประเทศไทยของเรานั้นเห็นคุณค่าของงานช่างศิลป์ เช่น ช่างปั้น ช่างเขียน ช่างสถาปัตย์ ช่างทองรูปพรรณ ช่างเงิน
ช่างถมและช่างอัญมณี ซึ่งเราควรสนับสนุนงานช่างศิลป์ไทยให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองอย่าให้ด้อยน้อย
หน้ากว่านานาประเทศ ชาวต่างชาติเมื่อมาเยือนเมืองไทยจะได้ซ้อหางานศิลปะเหล่านี้กลับไปเพราะเห็น
ในคุณค่า การช่วยสนับสนุนงานศิลปกรรม และส่งเสริมช่างศิลป์ไทยให้สร้างสรรค์งานศิลปะขึ้นจึงเท่ากับได้ช่วยพัฒนา
ชาติ ให้เจริญพัฒนาอย่าถาวร
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
สิ่งหนึ่งที่เราควรมีไว้ในจิตใจคือ พระเจ้าแผ่นดินเปรียบเสมือนพ่อบังเกิดเกล้าที่เราควรเกรงใจและเคารพนับถือ
เราต้องไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ควรนึกว่าพวกเราก็เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดินคนหนึ่งเหมือนลูกเรือที่
อยู่ในเรือกลางทะเลจำเป็นที่จะต้องมีความสามัคคีต่อกันและกัน ถ้าลูกเรือเชื่อฟังกัปตันก็จะต้องช่วยกัปตันอย่างแข็งขัน
ต้องตั้งใจฟังคำสั่งของกัปตันเรือก็จะรอดไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าลูกเรือไม่เชื่อฟังกัปตันและเริ่มแตกคอกัน
เวลาคลื่นลมแรงเรือก็จะโคลงเคลง ต่อมาเรือก็จะจม ถ้าลูกเรือมัวแต่ทะเลาะกัน กัปตันก็จะไม่มีกำลังมาต่อสู้
ถ้าไม่เคร่งครัดต่อกฏระเบียบเวลาที่เกิดภัยอะไรขึ้นจะเดือดร้อนกัปตันสั่งอะไรก็ไม่ฟังพอถึงเวลาก็มีข้อขัดแย้งต่อมาก็จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น
ในที่สุดเรือก็จะล่มกลางทะเล ถึงจะเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ควรขาดความสามัคคีปรองดองกัน
เหตุการณ์ในพระราชสำนักก็เปรียบเสมือนเรือที่แล่นอยู่ตามทะเลมหาสมุทร เหล่าข้าราชการในราชสำนักก็เหมือนเป็นกะลาสีควรให้ความสำคัญกับหน้าที่ที่
ต้องทำเป็นหลัก ปฏิบัติตนตามกฎตามระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดและสามัคคีจงรักภักดีต่อพระ
เจ้าแผ่นดินไม่ควรแยกฝ่ายเลือกที่จะเคารพเชื่อฟังใคร ควรที่จะสามัคคีปรองดองกันในหมู่ข้าราชการเพื่อเป็นพลังในการทำความดีให้สม
กับที่มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น